พระปรัชญาปารมิตา



                                                                        


พระปรัชญาปารมิตา 

        ทรงเป็นเทวนารีในพุทธศาสนาลัทธิวัชรยานหรือตันตระยาน พระปรัชญาปารมิตาทรงเป็นเทวนารีในกุลหรือสายสกุลของพระอมิตาภพุทธะประจำทิศตะวันตก จึงทรงมีรูปพระชินอมิตาภะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประทับปางสมาธิบนพระเศียร รูปลักษณ์ของพระปรัชญาปารมิตา 

รูปลักษณ์ของพระปรัชญาปารมิตา



                                                    https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา

        

        พระนางมีสีกายขาวหรือเหลือง มีหลายแขน พระหัตถ์อยู่ในท่าธรรมจักรมุทรา ถือดอกบัว คัมภีร์ ลูกประคำ หรือวัชระ ลักษณะเด่นของพระนางคือเป็นที่รวมของพระธยานิพุทธะทั้งหลายไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นการสะท้อนปรัชญาธรรมคือความว่างที่สามารถแทรกซึมเป็นองค์ประกอบในทุกสิ่ง พระกรคู่หน้าของพระปรัชญาปารมิตาทรงอยู่ในท่า หมุนธรรมจักร หรือธรรมจักรมุทฺรา ด้านหลังพระองค์เป็นดอกบัวสีขาว มีคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาวางอยู่บนดอกบัว ส่วนในศิลปะกัมพูชา มักปรากฏในรูปสองกร พระหัตถ์ขวาทรงถือคัมภีร์ปรัชญาปารมิตา พระหัตถ์ซ้ายทรงถือดอกบัวหรือ พระหัตถ์ขวาทรงถือดอกบัว และพระหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์ 



                                                                                                         https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา



พระนางแบ่งตามวรรณะได้เป็น 3 วรรณะคือ        

        สิตปรัชญาปารมิตา หรือวรรณะขาว ประทับบนดอกบัวขาว พระหัตถ์ถือดอกบัวและคัมภีร์ ไม่มีปางดุร้าย
        ปิตปรัชญาปารมิตา หรือวรรณะเหลือง พระหัตถ์ทำปางธรรมจักร รูปปั้นของวรรณะนี้พบมากในเกาะชวา       กนกปรัชญาปารมิตา หรือวรรณะทอง คล้ายวรรณะเหลืองแต่เพิ่มจำนวนดอกบัวและคัมภีร์ให้มากขึ้น เป็นที่นิยมในอินเดีย

นอกจากนี้ยังมีรูปของพระปรัชญาปารมิตาในแบบวัชรยาน ซึ่งมีหลายเศียร โดยมากมี 11 เศียร 22 กร พระหัตถ์ถือคัมภีร์ ดอกบัว ธนู ลูกศร ประคำ



https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา
       


         ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรจัดอยู่ในพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตาของพระไตรปิฎกฝ่ายมหายาน และถือเป็นพระสูตรฝ่ายมหายานที่โดดเด่นที่สุดในหมวดนี้ เช่นเดียวกับวัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตรปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรเป็นออกเป็นโศลกภาษาสันสกฤตจำนวน 14 โศลก แต่ละโศลกมี 32 อักขระ ส่วนพระสูตรที่ได้รับการแปลเป็นภาษาจีนโดยพระเสวียนจั้ง (ถังซำจั๋ง) มีทั้งหมด 260 ตัวอักษรจีน ในภาษาอังกฤษมักแปลออกมาได้จำนวน 16 บรรทัด จำนับเป็นพระสูตรในหมวดปรัชญาปารมิตาที่มีขนาดกระชับที่สุด เนื่องจากพระสูตรในหมวดนี้มักมีขนาดยาว ที่ยาวที่สุดมีจำนวนถึง 100,000 โศลก ทั้งนี้ เกเช เคลซัง กยัตโซ คณาจารย์ด้านพุทธศาสนาฝ่ายทิเบตได้ให้กถาธิบายเกี่ยวกับพระสูตรนี้ไว้ว่า"สารัตถะแห่งปรัชญาปารมิตาสูตร (ปรัชาปารมิตาหฤทัยสูตร) มีขนาดสั้นมากเมื่อเทียบกับปรัชญาปารมิตาสูตรอื่น ๆ แต่พระสูตรนี้ได้บรรจุเอาไว้ซึ่งความหมายโดยนัยตรงและนัยประหวัดของพระสูตรขนาดยาวไว้ท้งหมด" 




https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา




        เอ็ดเวิร์ด คอนเซ (Edward Conze) ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาพุทธได้จัดลำดับพระสูตรนี้ ให้อยู่ในลำดับที่ 3 ของทั้งหมด 4 ลำดับพัฒนาการของพระสูตรสายปรัชญาปารมิตา อย่างไก็ตาม พระสูตรนี้อาจมีช่วงลำดับพัฒนาการคาบเกี่ยวกับยุคที่ 4 เนื่องจากตอนท้ายของพระสูตรปรากฏคาถา (ซึ่งบางครั้งเรียกว่าธารณี) อันเป็นลักษณะของพัฒนาการของสายตันตระ ซึ่งเป็นพัฒนาการช่วงหลังสุดของพุทธศาสนา นอกจากนี้ ในบางกรณีพระสูตรดังกล่าวยังได้รับการจัดหมวดหมู่เข้าอยู่ในหมวดตันตระ ในพระไตรปิฎกสายทิเบตบางสาย  คอนเซ ประเมินอายุของพระสูตรไว้ว่า น่าจะมีจุดกำเนิดอยู่ในช่วงปีค.ศ. 350 แต่นักวิชาการบางคนคาดว่า น่าจะมีอายุเก่ากว่าถึง 2 ศตวรรษ  อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ไม่สามารถประเมินอายุของพระสูตรได้เกินศตวรรษที่




                                              https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา


        พระสูตรฉบับภาษาจีนมักนำมาสาธยายระหว่างประกอบพิธีทางศาสนาโดยพระภิกษุนิกายฉาน (เซน) ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญกับนิกายชินงอน โดยท่านคูไค ผู้ก่อตั้งนิกายนี้ในญี่ปุ่นยังได้รจนาอรรถกถาไว้ รวมถึงอีกหลายนิกายในศาสนาพุทธแบบทิเบตก็ยังศึกษาพระสูตรนี้อย่างยิ่งยวดอีกด้วย




                                                                https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา



         พระสูตรนี้จัดอยู่ในกลุ่มพระสูตรจำนวนหยิบมือที่มิได้เป็นพุทธวจนะโดยตรง ในบางฉบับมีการเอ่ยถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชื่นชมและรับรองวจนะของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อาทิเช่นพระสูตรฉบับฝ่าเยว่ ที่มีอายุราวปีค.ศ. 735  อย่างไรก็ตาม การระบุถึงในส่วนนี้ ไม่ปรากฏในฉบับของพระถังซำจั๋ง ขณะที่ฉบับภาษาทิเบตมีขนาดยาวกว่า กระนั้นก็ตาม ฉบับแปลภาษาทิเบตซึ่งพบที่ตุนหวงไม่ปรากฏอารัมภกถา ส่วนในพระไตรปิฎกฉบับภาษาจีนเก็บรักษาทั้งฉบับยาวและฉบับสั้น ซึ่งยังคงพบต้นฉบับในภาษาสันสกฤตทั้ง 2 ฉบับ 



ชื่อพระสูตร    

       

        พระสูตรฉบับจื่อเฉียน ให้ชื่อไว้ว่า "ปัวญั่วปัวลัวมี เซินอีจ้วน" หรือ "ปรัชญาปารมิตา ธารณี" ฉบับของพระกุมารชีพให้ชื่อไว้ว่า "มัวฮัวปัวญัวปัวลัวมี เซินอีจ้วน" หรือ มหา ปรัชญาปารมิตา มหาวิทยา ธารณี ฉบับของพระเสวียนจั้ง (พระถังซำจั๋ง) เป็นฉบับแรกที่มีคำว่า "หฤทัย" แทรกไว้ในชื่อพระสูตรแม้ว่าโดยทั่วไปจะเรียกพระสูตรนี้ว่า พระสูตรหัวใจ หรือ Heart Sutra แต่คำว่า "สูตร" มิได้ปรากฏในฉบับภาษาสันสกฤตแต่อย่างใด เพราะปรากฏเพียงว่า "ปรัชญาปารมิตาห์หฤทัย"  ฉบับของพระเสวียนจั้งเป็นฉบับแรกที่มีการเติมคำว่า พระสูตรเข้าไป แม้ว่าจะไม่พบฉบับภาษาสันสกฤตฉบับใดที่พ่วงท้ายด้วยคำว่า "สูตร" หรือพระสูตร คำนี้ได้กลายเป็นคำที่พบได้เป็นปกติในฉบับภาษาจีน ภาษาทิเบต และภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ฉบับภาษาทิเบตบางฉบับเติมคำว่า "ภควตี" ต่อท้ายชื่อพระสูตร ตามความเชื่อเชิงบุคคลาธิษฐานเทศนาที่ว่า หลักธรรมปรัชญาปารมิตา หรือปัญญาบารมี มีรูปลักษณ์เป็นสตรี





                                            https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา



ตัวบท

       
          ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาพุทธหลายท่าน แบ่งพระสูตรออกเป็นส่วนต่าง ๆ แตกต่างกันออกไปตามทัศนะของท่านเหล่านั้น แต่โดยสังเขปแล้วพระสูตรนี้พรรณนาถึงการบรรลุธรรมของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อันเกิดจากการเพ่งวิปัสนาอย่างล้ำลึก จนบังเกิดปัญญา (ปรัชญา) ในการพิจารณาเล็งเห็นว่าสรรพสิ่งต่าง ๆ ล้วนว่างเปล่า และประกอบด้วยขันธ์ 5 (ปัญจสกันธะ) อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา (สังชญา) สังขาร (สังสการ) และวิญญาณ (วิชญาน)




                                                                                                       https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา



       ทั้งนี้ หัวใจหลักของพระสูตร ดังที่ระบุว่า "รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูป รูปไม่อื่นไปจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าไม่อื่นไปจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ว่างเปล่า" นับเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา เห็นแจ้งในรูปเป็นความว่างเปล่า เกิดมหาปัญญา เห็นแจ้งในความว่างเปล่าเป็นรูป เกิดมหากรุณา เมื่อเห็นแจ้งในรูปเป็นความว่างเปล่า ความยึดมั่นในอัตตาย่อมไม่มี ความหลงในสรรพสิ่งย่อมถูกทำลายไป ธรรมชาติแท้ของสรรพสิ่ง ก็บังเกิดขึ้นในจิต นั่นคือ มหาปัญญา ได้บังเกิดขึ้น และเมื่อได้เห็นแจ้งถึงความว่างเปล่าได้ กำเนิดรูป ความรัก ความเมตตากรุณาในสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติแท้ย่อมบังเกิดขึ้น ความ เมตตากรุณาที่เกิดจากปัญญาจะไม่มืดบอด หลงไหล ความรักของพ่อและแม่ที่มีต่อลูกเป็น เช่นเดียวกัน

คาถา
        
        จุดเด่นสำคัญของปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร คือคาถาตอนท้ายพระสูตร ที่ว่า "คะเต คะเต ปารคะเต ปารสังคะเต โพธิสวาหา" หรืออาจแปลโดยคร่าวๆ ได้ว่า "จงไป จงไป ไปถึงฝั่งโน้น ไปให้พ้นโดยสิ้นเชิง บรรลุถึงความรู้แจ้ง หะเหวย!" อย่างไรก็ตาม ต้นฉบับในภาษาต่าง ๆ มักละไว้ ไม่แปลคาถานี้ ตามตำนานฝ่ายจีนระบุว่า คณาจารย์ชาวอินเดียที่เดินทางมาประกาศพระศาสนาในแผ่นดินจีน ไม่แปลคาถานี้เพราะท่านทราบดีว่า ไม่มีทางที่จะทำได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายความนัยอันลี้ลับของคาถานี้  กล่าวกันว่า หากผู้ใดสาธยายคาถาในพระสูตรจนบังเกิดสมาธิขึ้น บัดนั้นความนัยอันลึกซึ้งของคาถาก็จะเปิดเผยขึ้นมาเอง



                                                                                                             https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา




       ขณะที่คณาจารย์ทิเบตตีความไปในแนวทางพุทธตันตระ โดยบางท่านตีความว่า คาถานี้ เป็นการแสดงถึงการเคี่ยวกรำบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ผ่านภพภูมิต่างๆ กล่าววคือ ภพภูมิชั้นมูลฐาน หรือสัมภารมรรค (คะเต คะเต) ผ่านถึงภาคแรกของภพภูมิแรก หรือประโยคะมรรค (ปารคะเต) ถึงภาคที่สองของภพภูมิแรกจนถึงภพภูมิที่สิบ หรือประโยคะแห่งสุญตาจนถึงภาวนามรรค (ปารสังคะเต) กระทั่งจนถึงภูมิที่สิบเอ็ด หรืออไศกษะมรรค (โพธิสวาหา) ดังที่ เกเช เคลซัง กยัตโซ ได้อธิบายไว้ในหนังสือ The New Heart of Wisdom ความว่า "คาถานี้ ซึ่งอยู่ในพากย์ภาษาสันสกฤต อธิบายการปฏิบัติตามแนวทางมหายานไว้อย่างเข้มข้นที่สุด ซึ่งเราจักบรรลุและโดยสมบูรณ์โดยผ่านปัญญาบารมี (ปรัชญาปารมิตา)






                                                                          https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา



       พระมหาคณาจารย์โพธิ์แจ้งและมหาวัชราจารย์โซนัมรินโปเช่ กล่าวว่า "คำสวดนี้เป็นคาถาหัวใจของปรัชญาปารามิตาสูตร เลียนคำมาจากสันสฤตโบราณ ฉะนั้นจึงไม่ขอแปลความหมาย บทธารณีในภาษาจีนได้จบเพียงเท่านี้ แต่ในสันสฤตได้มีอีกประโยคว่า ได้กล่าวปรัชญาปารามิตาสูตรจบแล้ว ในภาษาทิเบตมีการบรรยายที่มาของพระสูตร และ บท สรุปของพระสูตรนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในสังยุตตนิกายว่า “ดูกรกัจจนะโลกนี้ติด อยู่กับสิ่งสองประการ คือ “ความมี”และ “ความไม่มี” ผู้ใดเห็นความเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลาย ในโลกตามความเป็นจริงและด้วยปัญญา “ความไม่มี”อะไรในโลกจะไม่มีแก่ผู้นั้น ดูก่อนกัจจนะ ผู้ใดเห็นความดับของสิ่งทั้งหลายในโลกตามความเป็นจริงและด้วยปัญญา “ความมี” อะไรในโลกจะไม่มีแก่ผู้นั้น”"


ในงานพุทธศิลป์ 
                                                                                                                                                 โดยปกติรูปเคารพของพระนางจะมีเศียรเดียวสองกร ทรงประทับอยู่ในท่าปฐมเทศนา โดยพระหัตถ์ขวา-ทรงถือคัมภีร์ และพระหัตถ์ซ้ายทรงถือดอกบัวตูม
-หากเป็นสี่กรจะมีประคำเพิ่มขึ้นมา ส่วนอีกพระกรหนึ่งจะอยู่ในท่าปฐมเทศนาเช่นกัน



ในงานศิลปะเขมร

รูปเคารพของพระนางส่วนใหญ่ที่พบในอารยธรรมเขมร มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ คือ

1.หนึ่งเศียรสองกร

2.สิบเอ็ดเศียรยี่สิบสองกร พระนามของพระองค์ที่ปรากฏพบ ได้แก่ พระนางปรัชญเทวี และพระนางทิวยเทวี (ทิพย์เทวี) รวมทั้งปางที่สำคัญๆ ได้แก่ สิตปรัชญาปารมิตา ปิตปรัชญาปารมิตาและกนกปรัชญาปารมิตา ฯลฯ




พระโพธิสัตว์ปรัชญาปารมิตาเทวี



                                                                                                      https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา



                                                                                                      https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา




                                                                                                        https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา




สำหรับรูปเคารพของพระองค์ ดังภาพถัดไป เป็นศิลปะแบบบายน ซึ่งไม่ทราบแหล่ง ที่มา พระองค์ทรงมีสิบเอ็ดเศียรยี่สิบสองกร พระหัตถ์ทั้งสิบเอ็ดคู่ต่างถือสิ่งของที่ต่างกัน แต่ไม่สามารถจำแนกได้ทั้งหมด บ้างก็ประกอบด้วยไปด้วย ดอกบัวตูม ลูกประคำ บ่วงบาศ จักร สังข์ ดวงมณี หนังสือ (ปุสตกะ) ถ้วยกบาล กระจก ขอช้าง (อังกุศ) ฯลฯ ส่วนพระพักตร์ทั้งสิบเอ็ดหน้า ซึ่งมีหลากหลายคติ แต่ตามหลักของตรีกาย ซึ่งประกอบด้วย พระธรรมกาย (พระอาทิพุทธเจ้า) หนึ่งพระองค์ พระฌานิพุทธเจ้าห้าพระองค์ พระมานุษิพุทธเจ้าห้าพระองค์ รวมเป็นสิบเอ็ดพักตร์นั่นเอง พระองค์ทรงเครื่องประดับ ได้แก่ มงกุฏทรงกรวย (ชฎามงกุฏ) กุณฑลรูปตุ้ม (ตุ้มหู) กรองศอรูปสามเหลี่ยม (สร้อยคอ) ทองพระบาท (กำไลข้อเท้า) ทองพระกร (กำไลมือ) และพาหุรัดเป็นเครื่องประดับ ภูษาทรงเป็นลายดอกไม้ยาวเกือบจรดข้อพระบาทแบบ พับป้าย มีชายภูษารูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ทบสองชั้นห้อยทางเบื้องหน้า คาดทับด้วยสายรัดพระองค์ มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับอีกต่อหนึ่ง



ส่วนรูปเคารพถัดไป เป็นศิลปะแบบบายนด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มา พระองค์ทรงประทับยืนอยู่บนดอกบัว โดยมีนางโยคินีทั้งแปดองค์ห้อมล้อมเป็นวงกลม และมีหัวหน้านางโยคินีที่ยืนต่อหน้าพระพักตร์อีกหนึ่งองค์ รวมเป็นเก้าองค์ (ปกติมีแปดองค์) ด้วยคุณลักษณะเช่นนี้เราเรียกว่า “มณฑล” (Mandala) ซึ่งมีต้นแบบมาจากทิเบต แสดงให้เห็นถึงการเปล่งรัศมีและการหล่อหลอมทางจิตวิญญาณ โดยมีพระองค์เป็นตัวแทนแห่งปัญญาอันสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นธาตุรู้ที่มีองค์ประกอบของธาตุทั้งห้า ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ


                                                      https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา




                                                                                                           https://www.google.co.th/search?q=พระปรัชญาปารมิตา

อ้างอิง


1. wikipedia."พระปรัชญาปารมิตา'' [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/พระปรัชญาปารมิตา

2. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. มูลนิธิวิกิมีเดีย."พระปรัชญาปารมิตา'' [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/พระปรัชญาปารมิตา

3. sac "พระปรัชญาปารมิตา'' [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/พระปรัชญาปารมิตา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

“หุบเขาศักดิ์สิทธิ์หมีเซิน” (My son sanctuary)

ปรัมบานัน เทวสถานที่สวยงามและยิ่งใหญ่